โรคไอกรน (Whooping Cough or Pertussis)

ไอกรนเป็นโรคติดต่อที่สำคัญอันหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ
พบมากในเด็กทุกเพศทุกวัยที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี
เกิดได้ในทุกสภาพอากาศหรือภูมิประเทศ ในชุมชนที่มีประชาชนอาศัย
อยู่รวมกันอย่างหนาแน่น มักพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้สูง
โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูหนาวและต้นฤดู ใบไม้ผลิ
สาเหตุของโรคไอกรน
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยติดเชื้อโดยตรงจากละอองอากาศที่ผู้ป่วยไอและจาม รดใส่ หรือปนออกมากับเสมหะ นํ้ามูก นํ้าลายของผู้ป่วย
เชื้อที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่เชื้อแบคทีเรีย บอร์ดีเทลลา เปอร์ตัสซิส (Bordetella Pertyssis)
แหล่งของโรค ได้แก่ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะติดต่อ
การติดต่อ เชื้อโรคอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย โดยมักอยู่ส่วนลึกของลำคอและในหลอดลมของผู้ป่วย สามารถติดต่อได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- การติดต่อทางตรง โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
ทำให้ติดต่อได้โดยตรงจากนํ้ามูก นํ้า ลาย เสมหะของผู้ป่วย ด้วยการไอ จาม
หรือหายใจรดกัน
- การติดต่อทางอ้อม โดยการใช้ผ้าเช็ดหน้า
ภาชนะในการดื่มและรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วย
หรือหายใจเอาฝุ่นละอองที่มีเชื้อโรคเข้าไป เป็นต้น
ระยะฟักตัวของโรค ประมาณเวลา 7 วัน แต่อาจเริ่มตั้งแต่ 5-12 วัน
ระยะติดต่อ
โรคไอกรนมีโอกาสติดต่อได้มากในระยะแรกที่ผู้ป่วยมีนํ้ามูก นํ้าลาย
แล้วค่อยๆ ลดลงถึงสัปดาห์ที่ 3 จะไม่มีการติดต่อของโรคทั้งๆ
ที่ผู้ป่วยยังมีอาการไออยู่
ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจแพร่เชื้อได้เป็นเวลานาน 4-6 สัปดาห์
ความไวต่อโรคและความต้านทาน
ทุกคนที่ไต้รับเชื้อมีความไวต่อการเป็นโรคไอกรน
ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าทารกได้รับภูมิคุ้มกันโรคนี้จากมารดาหรือถ้าได้ก็
น่าจะอยู่ในระดับต่ำ
มีการสำรวจพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี อัตราป่วยด้วยโรคนี้สูง
มีอัตราการตายมากที่สุดใน กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีที่ป่วยเป็นโรคนี้
กลุ่มเพศหญิงจะมีอัตราป่วยและตายสูงกว่าเพศชาย
ฉะนั้นต้องให้เด็กเล็กได้รับวัคซีนตามกำหนด
ผู้ป่วยเมื่อหายจากโรคไอกรนจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคได้นาน
แต่อาจเป็นซํ้าสองได้ในวัยผู้ใหญ่
อาการของโรคไอกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการคันคอและไอ จากไอธรรมดาเป็นไอซ้อนติดต่อกันเป็นชุดๆ
จนหายใจไม่ ทันเพราะน้ำมูกไหล มีเสียงหายใจเข้าดังวู้บ
ผู้ป่วยบางคนอาจไอจนหน้าเขียวเนื่องจากขาดอากาศหายใจ
โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะมีอาการมากกว่าเด็กโตและผู้ใหญ่
ไอกรนเป็นโรคติดต่อแบบเฉียบพลัน มีอาการของหลอดเลือดใหญ่ หลอดลมเล็ก และ แขนงหลอดลม แบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะเริ่มต้น (Catarrbal Sfage)
ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการไอนํ้าตาไหล จาม นํ้ามูกไหล เบื่ออาหาร เวียนศีรษะ
มีอาการไอแห้งเสียงดังแค้กๆ คล้ายเป็นหวัดในเวลากลางคืน และต่ อไป
จะไอในเวลากลางวันด้วย ระยะนี้กินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
2. ระยะที่สอง (Paroxysmal Stage) ผู้ป่วยจะมีอาการไอถี่ขึ้น
ไอเป็นชุดจนแทบไม่ได้ พักหายใจ ไอชุดหนึ่งประมาณ 10-15 ครั้ง
ทำให้พอหายไอจะหายใจเข้าปอดอย่างแรงลึกๆ เกิดเสียงดัง “วูด” หรือ ’’วี้ด”
(Whoop) ซึ่งเป็นระยะที่เรียกว่า “ไอกรน” และจะยิ่งมีอาการไอ
มากขึ้นจนหน้าเขียว เส้นโลหิตที่คอโป่ง มีโลหิตออกจากเยื่อตา
และอาจอาเจียนเนื่องจากมีเสมหะมาก ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้พักผ่อน
มีอารมณ์ฉุนเฉียว ในเด็กเล็กจะร้องไห้กวน ระยะนี้กิน เวลาประมาณ 10-14 วัน
3. ระยะที่สาม (Convalescent Stage)
ต่อจากช่วงที่มีอาการรุนแรงของโรคแล้ว อาการ ไอจะทุเลาลง
และจะหมดอาการของโรคเมื่อครบ 3 เดือนโดยประมาณ
โรคไอกรนเทียม (Paratertussis)
ลักษณะอาการของโรคในผู้ป่วยบางคนอาจไม่รุนแรง
หรือเนื่องจากเกิดเชื้อบอร์ดีเทลลา เปอร์ตัสซิส (Bordetella Pertussis)
การตรวจหาเชื้อและวินิจฉัยโรค
1. สังเกตจากอาการ โดยเฉพาะอาการไอ และอาการอื่นๆของผู้ป่วย
2. ตรวจพบจำนวนเม็ดโลหิตขาวสูงประมาณ 15,000-20,000 ตัวต่อคิวบิดมิลลิเมตร และ 60-80 % เป็นเซลล์ของพวกลิมโฟไชท์
3. เมื่อนำไม้พันสำลีไปกวาดบริเวณหลอดคอส่วนจมูก (Nasopharyngealswab) แล้วนำ ไปเพาะเชื้อ จะพบเชื้อโรคนี้
การรักษาพยาบาล
ให้ยาอีริธโทรมัยชิน (Erythromycin) 50 มก./นน.ตัว 1 กก. ให้ ไฮเปอร์ฮีมูน
แกมมา กลอบุลสิน (Hyperimmune gamma globullin) 3-6 ซีซี.
ฉีดเข้ากล้ามเนี้อ
รักษาตามอาการ ให้อาหารที่มีแคลอรี่สูง พักผ่อนให้เพียงพอ และให้ยาขับเสมหะ
ยากล่อมประสาทช่วยให้ผู้ป่วยลดอาการไอ
การใช้ยาควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์
วัคซีน
ในเด็กเกิดใหม่ เริ่มให้วัคซีนตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน ฉีด 2 ครั้งห่างกัน 2
เดือน แล้วฉีดซํ้าเมื่อครบ 1 ปีครึ่ง ต่อไปจึงฉีด 1 ครั้ง เมื่อเด็กอายุ
5-6 ปีตอนเข้าโรงเรียน
โรคแทรกซ้อน ได้แก่โรคปอดบวม หูนํ้าหนวก
เด็กบางคนไอมากจนกินอาหารไม่ได้ จนเกิดภาวะขาดอาหาร
และเจ็บชายโครงเนื่องจากไอทำให้ความตันในช่องท้องสูงอาจเกิดเป็น
ไส้เลื่อนได้และทำให้ตาแดงปอดอักเสบ ถ้าเป็นวัณโรคอาการก็จะกำเริบ
หากมีอาการเรื้อรังหรือ อาการของโรคหรือโรคแทรกซ้อน ควรรีบกลับไปพบแพทย์
โรคอื่นๆที่มีอาการคล้ายไอกรน ได้แก่โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้ หวัด วัณโรค เป็นต้น
การปฏิบัติตน
เมื่อป่วยหรือสงสัยว่าเป็น โรคไอกรน นอกจากการรีบไปพบแพทย์และปฏิบัติตามคำ
แนะนำเกี่ยวกับผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อ ดังกล่าวรายละเอียดไว้ในบทนำแล้ว
ยังมีข้อควรทราบ เกี่ยวกับการปฏิบัติเฉพาะโรคเพิ่มเติม ดังนี้
1. ควรจัดแยกผู้ป่วยให้อยู่ต่างหากทันทีเมื่อเห็นว่ามีอาการของโรค
2. ควรทำลายเชื้อที่ออกมากับนํ้ามูก นํ้าลาย เสมหะ ในนํ้ายาฆ่าเชื้อโรค
แล้วจึงนำไปฝัง หรือ เผาไฟทิ้ง หรือก่อนนำไปซักล้างแล้วต้ม
สำหรับข้าวของเครื่องใช้ของผู้ป่วย
การป้องกันและควบคุมโรค นอกจากปฏิบัติตามคำแนะนำ
เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันการรับเชื้อหรือภาวะที่ทำให้เกิดโรค
ดังกล่าวรายละเอียดไว้ในบทนำแล้ว ยังมีข้อควร ทราบเพิ่มเติมเฉพาะโรค ดังนี้
1. ให้เด็กเล็กได้รับภูมิคุ้มกัน ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนและโรคอื่นๆตามกำหนด
2. ไอกรนเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กถึงชีวิต ควรให้ความระมัดระวัง ดูแลเป็นพิเศษ
การป้องกันในขณะมีการระบาด
ขณะมีการระบาดควรสืบสวนหาผู้ป่วยที่ไม่ได้รับรายงาน
การควบคุมและป้องกันระหว่างประเทศ ให้ภูมิคุ้มกันโรคแบบแอคทิฟแก่เด็กที่ จะเดินทางระหว่างประเทศ
ข้อควรทราบเพิ่มเติม ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
อัตราป่วยและตายของโรคนี้ลดลง อาจ
เนื่องจากประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนและอยู่ดีกินดีรวมทั้งได้รับการบริการ
ด้านรักษาพยาบาลดีขึ้น แต่ในชุมชนที่ยังด้อยพัฒนา
อัตราป่วยและตายของเด็กด้วยโรคนี้ยังคงสูงอยู่