ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์เพื่อนบ้านนี้
เป็นข้อมูลจากรายงานของบีบีซีนิวส์ที่เผยว่าทีมวิจัยได้นำเสนอภายในงาน
ประชุมวิชาการของสาขาวิทยาการดาวเคราะห์ในสมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน
ทั้งนี้
บรรยากาศที่อุดมด้วยคาร์บอนของดาวก๊าซยักษ์ในวงนอกของระบบสุริยะนั้น
ให้เกิดผลึกเพชรเป็นประกาย เมื่อเกิดพายุฟ้าคะนอง
ทำให้ก๊าซมีเทนกลายเป็นเขม่าที่เป็นคาร์บอนรูปหนึ่ง
จากนั้นจะแข็งเป็นก้อนกราไฟต์ แล้วเปลี่ยนเป็นเพชรขณะตกสู่เบื้องล่าง
ขนาดใหญ่สุดของเพชรเหล่านั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซ็นติเมตร
ทว่าเพชรเหล่านั้นก็เป็นเพียงลูกเห็บที่ละลายลงสู่ทะเลของเหลวในใจกลางอัน
ร้อนจัดของดาวเคราะห์
ดร.เควิน เบนส์ (Dr. Kevin Baines) จากมหาวิทยาลัยวิสคันซิน-เมดิสัน
(University of Wisconsin-Madison)
และห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน (Jet Propulsion Laboratory)
ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) เน้นว่า
แต่ละปีมีเพชรตกบนดาวเสาร์กว่า 1,000 ตัน
"คนมักถามผมว่า ผมจะบอกได้แน่ๆ อย่างไร
เพราะไม่มีทางที่ผมจะไปถึงที่นั่นและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างมันเป็นเคมี ซึ่งเราเชื่อว่าเราค่อนข้างมั่นใจ" ดร.เบนส์กล่าว
โดยเขายังศึกษาเรื่องนี้ร่วมกับ โมนา เดลิตสกี (Mona Delitsky)
แผนกวิศวกรชำนาญพิเศษแคลิฟอร์เนีย
เรื่องแนวคิดว่ายูเรนัสและเนปจูนเป็นที่ซ่อนของอัญมณีไม่ใช่เรื่อง
ใหม่
แต่สำหรับดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดีแล้วเชื่อกันว่าไม่น่าจะมีบรรยากาศที่เหมาะ
สม แต่
ดร.เบนส์และเดลิตสกีได้วิเคราะห์อุณหภูมิล่าสุดและคาดการณ์ความดันสำหรับภาย
ในดาวเคราะห์ รวมถึงข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของคาร์บอนในสภาพต่างๆ
และได้ข้อสรุปว่าผลึกเพชรคงตัวจะตกเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะบนดาวเสาร์
ดร.เบนส์อธิบายว่า ทุกอย่างเริ่มต้นที่บรรยากาศชั้นบน
ในชั้นที่ฟ้าผ่าได้เปลี่ยนมีเทนให้กลายเป็นเขม่า
และเมื่อเขม่าตกลงความดันที่กระทำต่อเขม่าเหล่านั้นก็เพิ่มขึ้น
จนตกไปได้ราว 1,600 กิโลเมตร
เขม่าจะเป็นแผ่นกราไฟต์ซึ่งเป็นรูปแบบของคาร์บอนที่พบในดินสอ
และเมื่อลงลึกไปถึง 6,000 กิโลเมตร
กราไฟต์เหล่านั้นก็อัดแน่นกลายเป็นเพชรที่ทั้งแข็งและไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ
เพชรเหล่าจะตกไปเรื่อยๆ อีก 30,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 2
เท่าครึ่งของความกว้างของโลก
"เมื่อลงไปลึกมากขนาดนั้น ทั้งอุณหภูมิและความดันราวกับนรก
ไม่มีทางที่เพชรจะยังคงเป็นของแข็งได้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่า
อะไรเกิดขึ้นกับคาร์บอนข้างล่างนั่น" ดร.เบนส์กล่าว
แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีทะเลคาร์บอนเหลวก่อตัวขึ้น
โดยเพชรที่ดาวเสาร์และดาวพฤหัสไม่อาจคงตัวได้
แต่ที่ดาวยูเรนัสและเนปจูนยังมีเพชรที่คงตัวอยู่เพราะมีแกนกลางที่เย็นกว่า
สำหรับรายงานนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวเคราะห์ให้ความเห็นแก่ทางบีบีซีนิวส์ว่า
ความเป็นไปได้ที่จะเกิด "ฝนเพชร" เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม
ศ.เรย์มอนด์ ฌ็องลอซ (Raymond Jeanloz)
หนึ่งในทีมแรกที่ทำนายว่ามีฝนเพชรบนยูเรนัสและเนปจูน
กล่าวว่าแนวคิดเกี่ยวกับความลึกของบรรยากาศบนดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ที่มาก
พอจะทำให้เกิดเพชรที่คงรูปอยู่ได้นั้นค่อนข้างมีเหตุผล
แต่เมื่อคำนึงถึงขนาดของดาวเคราะห์เหล่านั้น
ปริมาณคาร์บอนที่กลายเป็นเพชรนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายนัก
ขณะที่ ดร.นาดีน เนตเทิลมานน์ (Dr. Nadine Nettelmann)
จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตาครูซ (University of California, Santa
Cruz) สหรัฐฯ กล่าวว่ายังต้องศึกษาอีกว่า
คาร์บอนจะกลายเป็นเพชรในบรรยากาศที่อุดมไฮโดรเจนและฮีเลียมอย่างดาวเสาร์ได้
อย่างไร
เธออธิบายว่า เยนส์และเดลิตสกีพิจารณาจากข้อมูลคาร์บอนบริสุทธิ์
แทนที่จะพิจารณาส่วนผสมระหว่างคาร์บอน ไฮโดรเจนและฮีเลียม
แม้ว่าไม่อาจตัดสมมติฐานเกี่ยวกับฝนเพชรบนดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดีได้
แต่เราก็ไม่มีข้อมูลก๊าซผวมบนดาวเคราะห์ทั้งสอง
ดังนั้นเราจึงไม่มีทางรู้ว่ามีการก่อตัวเป็นเพชรเกิดขึ้น
นอกจากนี้
ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่เคยเชื่อว่าเลอค่าไปด้วยเพชรปริมาณมหาศาลที่ชื่อ
55 แคนครี-อี (55 Cancri e)
ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ที่อยู่ไกลจะระบบสุริยะของเราออกไป 40 ปีแสงนั้น
ก็ไม่น่าจะมีอัญมณีส่องประกาย
จากการศึกษาเมื่อปี 2010
ชี้ว่าดาวเคราะห์หินดังกล่าวมีพื้นผิวกราไฟต์ที่รายรอบไปด้วยชั้นเพชรหนาๆ
แทนที่จะเป็นน้ำและหินแกรนิตเหมือนบนโลก
แต่งานวิจัยล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ลงวารสารแอสโทรฟิสิคัลเจอร์นัล
ก็ตั้งคำถามต่อข้อสรุปดังกล่าว
โดยปรากฏว่าคาร์บอนที่มีอยู่บนดาวแม่ของดาวเคราะห์ดังกล่าวน้อยกว่าที่คิด
โดยสัมพันธ์กับออกซิเจนบนดาวแม่
และดาวเคราะห์เองอาจจะมีคาร์บอนอยู่น้อยด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น